วัดศาลาเย็น เปิดศูนย์เรียนรู้ สู่ชุมชนให้ประชาชนนักเรียนนักศึกษามาค้นคว้าหาประวัติ ความเป็นมาของวัตถุโบราณในอดีตกาลหลายร้อยปีวัดศาลาเย็น
ตั้งอยู่ที่บ้านตากแดด หมู่ที่ 6 ตำบลตากูก อำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ วัดศษลาเย้นเป็นวัดที่เก่าแก่(เมื่อคาดคะเนในช่วงเวลาคาดว่าน่าจะสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) สร้างขึ้นครั้งแรกในบริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือป่าช้าบ้านตากแดดในปัจจุบัน ที่ชาวบ้านยังเรียกติดปากว่า“โข๊ะเชย” เป็นภาษากูยที่แปลว่า”โคกต้นประดู่” ซึ่งก่อนที่จะมีการสร้างวัดนั้นชาวบ้านที่มีการสร้างหลักฐาน รวมกลุ่มจัดตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโรงเรียนตากแดด
ในปัจจุบันที่ชาวบ้านยังเรียกติดปากว่า”โข๊ะ ดี”แปลว่าหมู่บ้านเก่า”ในระหว่างที่มีการสร้างวัดก๊มีขบวนช้างจากบ้านตากลางได้เดินทางไปคล้องช้างป่าที่ประเทศกัมพูชา และยังได้พูดคุยกับชาวบ้านที่กำลังจะสร้างวัดควาญช้างพูดกับชาวบ้านที่สร้างวัดใก้จะเสร็จว่า”มีพระมาจำพรรษาแล้วหรือยัง” ชาวบ้านตอบกลับว่ายังควาญช้างจึงแนะนำให้ชาวบ้านไปนิมนต์พระที่วัดบ้านตากลางเนื่องจากวัดบ้านตากลางมีพระหลายรูป
เมื่อสร้างวัดเสร็จชาวบ้านตากแดดก็ได้ไปนินต์พระมาจำพรรษา ในวันรุ่งขึ้นตากลางตามคำแนะนำของควาญช้าง เมื่อไปถึงบ้านตากลางก็เย็นมากแล้ว จึงเข้าไปกราบมนัสการเจ้าอาวาสบอกจุดประสงค์ ของการมาครั้งนี้เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจแล้วเจ้าอาวาสก็อนุญาติให้พระมาจำพรรษา
ในวันรุ่งขึ้นทางวัดจึงจัดหาขบวนช้างให้เป็นพาหนะให้กับพระเพื่อเดินทางมาที่วัดตากแดดเมื่อพระฉันภัตตาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางเรื่อยมา เมื่อถึงวัดตากแดดก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันนั้นอากาศร้อนมาก เพราะเป็นช่วงเดือน 5 เมื่อมาถึงวัดบ้านตากแดด พระรูปนั้นได้มองดูวัดมองไปรอบบริเวณก็ตกใจ เพราะไม่มีต้นไม้เหลืออยู่เลยเห็นแต่วัดหลังเล็กไม่มีที่พัก พระรูปนั้นจึงพูดกับชาวบ้านว่า”ให้อาตมามา ตากแดด”อาตมาจะใช้ชื่อวัดนี้ว่า”วัดบ้านตากแดด”ชาวบ้านจึงเรียกขานกันมาว่า”วัดบ้านตากแดด”ตามคำพูดของพระรูปนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากนั้นวัดบ้านตากแดดก็มีการพัฒนา และเจริญขึ้นมาตามลำดับแต่ที่ต้องย้ายวัดมาสร้างที่แห่งใหม่นั้น เนื่องจากเกิดโรคระบาดคือโรคอหิวาตกโรคหรือชาวบ้านเรียกว่า”โรคห่า”เป็นเหตุให้พระ และชาวบ้านล้มป่วยตายเป็นจำนวนมากเพราะในอดีตไม่มียารักษาโรค
ดังนั้นเมื่อเกิดโรคระบาดชาวบ้านก็มีการละทิ้งถิ่นฐานไปหาที่ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ โดยกลุ่มที่ย้ายไปตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ทางทิศตะวันตกหนองน้ำชาวบ้านเรียกติดปากว่า”โกลงอาไร”ซึ่งโกลง”แปลว่า”หนองน้ำ”เหมือนแอ่งกระทะ “อาไร”แปลว่าต้นหวายซึ่งมีต้นหวายอยู่รอบหนองน้ำเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า”บ้านหวาย”ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น”หมู่บ้านอาไร”จนมาถึงปัจจุบัน
จากนั้นวัดบ้านตากแดดก็มีการพัฒนาและเจริญขึ้นตามลำดับหลวงปู่สา ท่านเป็นผู้นำชาวบ้านในการสร้างวัดเมื่อสร้างเสร็จชาวบ้านได้มีการนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาส จากนั้นท่านก็ได้พัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองก่อนที่ท่านจะลาสิกขาบทท่านได้ปลูกต้นโพธิ์คู่เป็นอนุสรณ์ 2 ต้นต้นโพธิ์คู่คู่นั้นก็เจิญเติบโตมาตามลำดับ จนเป็นโพธิ์คู่ประจำหมู่บ้านตากแดด และหมู่บ้านโพธิ์คู่มาจนถึงปัจจุบันนี้เมื่อท่านลาสิกขาบท
ชาวบ้านจึงได้นิมนต์พระอาจารย์แก้ววัดบ้านสวายตำบลแตล มาเป็นเจ้าอาวาสพระอาจารย์แก้ว ท่านเห็นว่าบริเวณต้นโพธิ์ ที่มีที่ดินคับแคบเมื่อพระอาจารย์ปันลาสิกขาบท จึงพาที่สร้างวัดใหม่ในขณะที่กำลังสร้างยังไม่เสร็จพระอาจารย์แก้ว ก็ลาสิกขาบทชาวบ้าน จึงนิมนต์พระอาจารย์ปันจากบ้านแตล เป็นเจ้าอาวาส และมีบางท่านก็ลาสิกขาบท และบางท่านก็มรณภาพไป บ้างก็มีชาวบ้าน จึงได้นิมนต์พระอาจารย์ปัด (ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของพระครูสุดธรรมธาดา) เป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 10
เมื่อพระอาจารย์ปัดเป็นเจ้าอาวาสท่านเห็นว่าสถานที่ก่อสร้างในวัด ปัจจุบันมีบริเวณคับแคบอยู่ติดกับหมู่บ้าน และมีทางเกวียนล้อมรอบไม่สามารถขยายได้ จึงหาสถานที่จะสร้างวัดขึ้นใหม่ต่อมามีผู้บริจาคที่ดินอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดศาลาเย็น จึงได้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่บนที่ดินดังกล่าวในปัจจุบันชาวบ้านเรียกติดปากว่า”วัดเหรียง”หรือแปลว่า”วัดร้าง” จากนั้นพระอาจารย์ปัด จึงได้นำชาวบ้านสร้างวัดขึ้นใหม่แต่วัดยังไม่เสร้จพระอาจารย์ปัดได้ลาสิกขาบทชาวบ้านจึงได้นิมนต์พระอาจารย์ดวง เป็นเจ้าอาวาส
เมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสมีความเห็นว่าวัดอยู่ไกลจากหมู่บ้านชาวบ้านจะมาทำบุญฟังเทศก์ฟังธรรมไม่สะดวกโดยเฉพาะเวลากลางคืนจึงได้ย้ายมาสร้างบนพื้นที่เดิมคือบริเวณ”วัดศาลาเย็น”ในปัจจุบันนี้โดยมีพระอธิการสายแพร กตุปุญโญดร.บ้านโพธิ์คู่เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ภายในวัดศาลาเย็นนอกจากจะมีประวัติความเป็นมาจากอดีตจนมาถึงปัจจุบันโดยมีพระอธิการสายแพร กตปุญโญเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้หมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดจนการพัฒนาวัดศาลาเย็นอย่างต่อเนื่องโดยการให้ชาวบ้านที่มีสิ่งของเก่าแก่จากโบราณอาทิเช่น กลองยาวหนังงู ,กลองทัต,ระนาดเอก,หน้าไม้,ซอหนังงู,มีดเหลาตอก,กรรไกรปลอกหมาก,กลองหนังกระสอบ,แคนกลองตะโพน,กระโจมนาค,ฆ้องวงเล็ก,ฆ้องวงใหญ่,กระดิ่งคล้องวัว,กระบอกใส่เอกสาร,พวงสาวไหม,กระชอนกะลามะพร้าว,กระสวยทอผ้า,เหรียญสตางค์เจาะรู,เหรียญตราครุฑ,เหรียญตราแผ่นดิน,
สิ่งของโบราณเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยปีพุทธศักราช2475 ซึ่งชาวบ้านได้นำมาถวายตลอดจนนำมาจัดทำเป็นห้องศูนย์เรียนรุ้ให้กับพี่น้องประชาชนตลอดจนเด็กนักเรียนนักศึกษาที่อยากจะมาดูมาชมมาค้นคว้าหาประวัติความเป็นมาของวัดตลอดจนสิ่งของต่างๆที่ชาวบ้านนำมาถวายให้กับวัดศาลาเย็น ณ วันนี้
และในวันที่4สิงหาคม2566ที่จะถึงนี้ตั้งแต่เวลา 08.00น.-12.00 น. พระอธิการสายแพร กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดศาลาเย็นได้เป็นวิทยากรเปิดศูนย์เรียนรู้ให้กับเด็กนักเรียน ที่เรียนอยู่ภายในสังกัดตำบลตากูก จำนวนนับร้อยคนภายใน 3 โรงเรียน จะได้เดินทางมาพร้อมคณะครูได้เข้ามาดูมาชม และเรียนรู้กับสิ่งของวัตถุโบราณสถานภายในวัดศาลาเย็นตำบลตากูกอำเภอเขวาสินรินทร์จังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับประวัติความเป็นมาของวัดศาลาเย็น ที่มีประวัติมายาวนานจนกว่าจะมาถึงวันนี้
คำกอง กันนุฬา รายงาน / ข่าวสนมนิวส์